วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เด็กชอบเที่ยว

"ก็ฉันชอบเที่ยว มันผิดหรือไง ก็ฉันรักในเสียงดนตรี เมื่อไรโดนจังหวะดีดี หนึ่งสองสามสี่ก็ถึงทีเฮ เอ อิ เย อิ เย อิ เย้ เอ อิ เย อิ เย อิ เย เอ อิ เย อิ เย อิ เย้ เอ อิ เย อิ เย อิ เย เป็นกุลสตรีที่รักสนุก ชอบไปบุก ตามผับตามบาร์ ฉันชอบคุย กับคนแปลกหน้า ชอบเฮฮาแต่ไม่บ้าผู้ชาย คุณพ่อคุณแม่ ท่านอยู่ในใจ ประเดี๋ยวกลับไป กราบรายงานตัว ตอนนี้เป็นเวลาทัวร์ ขอเต้นรั่วรั่วไม่กลัวฟ้าดิน เอ อิ เย อิ เย อิ เย้ เอ อิ เย อิ เย อิ เย เอ อิ เย อิ เย อิ เย้ เอ อิ เย อิ เย อิ เย ตกเย็นโทรถามเพื่อนสาว ว่าคืนนี้เราจะไปไหนกันดี HIPHOP POP ROCK REGGAE ไปที่เท่เท่ ดนตรีดีดี เพื่อนสาวเธอตอบ อย่างไม่ลังเลใจ ถ้าคืนนี้ไปต้องไม่เกินตีสี่ หนึ่งทุ่ม ต้องรีบแต่งตัว รักสวยรักงาม แล้วก็ต้องรักดี ก่อนออกบอกแม่ว่าคืนนี้ หนูเรียนดนตรี อยู่ที่ทองหล่อ เอ อิ เย อิ เย อิ เย้ เอ อิ เย อิ เย อิ เย เอ อิ เย อิ เย อิ เย้ เอ อิ เย อิ เย อิ เย <(F)>สุดแสนสำราญยิ่งนัก ได้ชวนเธอนั้นไปเดินสยาม ชีวิตสนุกสนาน เมื่อย่างเข้าสู่สุนทรสถาน แห่งความบันเทิง รื่นเริงกันสุดเหวี่ยง เคียงคู่กับฉัน แดนซ์ฮอลตัวเอียง อาย ไม่เอาเธออย่าชายย์ เต้นรำกับพี่ชาย ผ่อนคลายจะตาย ออกกำลังถ้าลองได้เต้น ถึงเต้นไม่เป็น ถ้าปวดกายา ทาเคาน์เตอร์เพน ไม่รู้กี่โมงกี่ยาม ถ้าอยากทานน้ำ เดี๋ยวพี่ประเคน ถ้าเธออยากจะกลับ พี่ไปรับ พี่ไปส่ง สัญญากับแม่เธอไว้ เดี๋ยวไปส่ง <(M)>ก็ฉันชอบเที่ยว มันผิดหรือไง ก็ฉันรักในเสียงดนตรี เมื่อไรโดนจังหวะดีดี หนึ่งสองสามสี่ก็ถึงทีเฮ เอ อิ เย อิ เย อิ เย้ เอ อิ เย อิ เย อิ เย เอ อิ เย อิ เย อิ เย้ เอ อิ เย อิ เย อิ เย ถึงจะรักสนุกอย่างไร ก็ยังฝักใฝ่ ใจรักดี ไม่ทำตัวให้เป็นราคี แค่ชอบดนตรีเท่านั้นเอง ก็ฉันชอบเที่ยว มันผิดหรือไง ก็ฉันรักในเสียงดนตรี เมื่อไรโดนจังหวะดีดี หนึ่งสองสามสี่ก็ถึงทีเฮ เอ อิ เย อิ เย อิ เย้ เอ อิ เย อิ เย อิ เย เอ อิ เย อิ เย อิ เย้ เอ อิ เย อิ เย อิ เย "
การเที่ยวคือการพักผ่อนหย่อนใจ พักสมองจากการใช้งานหนักด้วยเพราะความเหนื่อยล้า แต่ด้วยอะไรก็แล้วแต่ เราควรดูแลสุขภาพตัวเองด้วย ไม่เที่ยวหนักมาก เพราะอาจเสียสุขภาพ อีกทั้งเสียหน้าที่ที่รับผิดชอบ พร้อมทั้งอาจเป็นโรคทรัพย์จางด้วย ยังไงก็เป็นห่วงเด็กเที่ยวทุกคน ก็คนชอบเที่ยวเหมือนกัน

ความฝันที่ห่างไกล

สวัสดีค่ะ...ทุกท่านที่อ่านบล็อก
ชื่อ ศิริเนตร อัครธรรม
ชื่อเยกเล่นๆๆ คุณป้าตั้งให้ ชื่อ "จีจี้ ".
ตอนนี้เรียน หลักสูตนิเทศศาสตร์ สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุระนารี
รักในความเป็นนิเทศศาสตร์มากค่ะ เรียนมาทั้งจบประถม และมัธยมศึกษาไม่คิดฝันว่าจี้จะได้มาเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ แต่ได้มาเรียนภูมิใจ และคิดไม่ผิดเลยที่ได้มาเรียน เพราะเป็นมหาวิทยาลัยที่พร้อมมอบความรู้แก่นักศึกษาทุกคน และมีการเรียนการสอนที่ดีจริงๆ โดยฉพาะนิเทศศาสตร์ มีการเรียนการสอน ที่ทันสมัยพร้อมให้ความรู้ และมอบการเรียนในทุกด้านแก่นักศึกษา
ความฝันที่ห่างไกล : จี้ฝันอยากเป็นพิธีกรจัดรายการต่างๆ เช่นท่องเที่ยว อาหาร และการเป็นผู้ประกาศข่าว และนักจัดรายการวิทยุ อยากมีกิจการเป็นของตัวเอง ไม่รู้ว่าจะทำได้จริงสำเร็จหรือป่าว แต่นั้นแหละเป็นความฝันของจี้ และจี้ต้องทำให้ได้ แต่ตอนนี้จี้ไม่รู้จะเริ่มจากจุดไหน รู้สึกสับสนเหลือเกิน เพราะแบ่งเวลาไม่ถูก มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย แต่ก็คงไม่เป็นแบบนี้แล้วแหละ ต่อไปจี้จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ดีจริงๆ ขอบคุณโอกาสอันงดงามที่มอบให้สำหรับ พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนๆ และอาจารย์ทุกท่าน ที่คอยมอบโอกาสดีให้โดยตลอด ต่อไปเด็กนักศึกษาคนนี้จะแบ่งเวลาให้ถูก และทำหน้าที่ให้ดีที่สุด คือการเรียน เพื่อความฝันที่ห่างไกล บ้างทีอาจอยู่ในมือ

จัดรายการวิทยุกันค่ะ

ค่ำคืนนี้ที่เธอทีมีคำถาม ที่ยังสงสัย ถึงวันวานๆเธอคงอยากรู้ว่าฉันเริ่มหวั่นไหวหรือฉันได้เปลี่ยนใจ ไปจากเธอ
* เธอคงอยากรู้ว่าทุกๆครั้งที่ส่งยิ้มมาฉันนั้นจะเขิลๆและหลบสายตาเมื่อต้องมองเธอวันนี้ฉันมีอะไรที่อยากให้เธอรู้
** ว่าฉันพร้อม ที่จะรักรักเธอคนเดียวคนนี้จวบจนนิรันดิ์เธอคือความฝัน ที่กลายเป็นจริงเธอคือเด็กผู้หญิงที่มาแต่งเติมให้ทุกสิ่งดูสวยงามและฉันพร้อม ที่จะให้หัวใจดวงเดียวดวงนี้ให้เธอครอบครองจะมีแต่เราทั้งสองจากวันนี้ไปไม่มีใครที่ฉันอยากรักนอกจากเธอ(ไม่มีใครที่ฉันอยากรักนอกจากเธอ)
ซ้ำ *
จะสัญญาว่าความรัก ฉันจะมั่นคงไม่มีอะไรที่ทำให้ฉันสับสนแม้กาลเวลาจะเปลี่ยนแปลงสักแค่ไหนแต่ใจฉันยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไป

สวัสดีค่ะ คุณผู้ฟังที่น่ารักทุกคน ต้อนรับคุณผู้ฟังด้วยเพลงเพราะๆจากทางรายการ ด้วยเพลง เด็กผู้หญิง จาก พี่แชมป์ ศุภวัฒน์ ด้วยเพลงหวาน ฟังสบายๆค่ะ ที่ทางคลื่นหน้าปัดวิทยุ.....เวลา.....เป็นประจำทุกวัน รับหน้าที่ช่วงนี้กับ ดีเจ จีจี้ ค่ะ พร้อมมอบความสุขกับการฟังเพลงให้คุณผู้ฟังค่ะ ใครต้องการฟังเพลงไหนเป็นพิเศษหรือมอบเพลงให้ใครก็แนะนำมาได้ ที่ ...........เดี่ยวจีจี้จัดให้ค่ะ ช่วงนี้สนับสนุนโดย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเทคโนโลยีสุระนารีค่ะ..
มาฟังเพลงนี้ กันต่อค่ะ แล้วช่วงหน้ามาฟังสถานที่ดีๆที่น่าปเที่ยวกันกับจีจี้ค่ะ..

คำถามที่ใครต่างคนหาความหมาย ที่แท้ของคำว่าความรัก และฉันก็เป็นหนึ่งคนนั้นอยากถาม และคอยจะได้เจอกับคนรัก และในวันนี้เมื่อฉันนั้นได้พบเธอ ก็รู้สึกว่ารักแต่ให้ความหมายไม่ได้ ก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าจะนิยามอย่างไร ก็ความรัก มันเป็นข้อความลึกๆของใจ จะถามว่าหน้าตาเป็นแบบไหน ฉันคิดว่าคงหน้าตาเหมือนเธอ ก็ความรัก เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันยิ้มได้ ช่วยฉันให้มีความสุขไม่ว่าอยู่ไหน เธอรู้ไหม ทุกครั้งที่ใกล้เธอเป็นแบบนี้ และในวันนี้เมื่อฉันนั้นได้พบเธอ ก็รู้สึกว่ารักแต่ให้ความหมายไม่ได้ ก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าจะนิยามอย่างไร ก็ความรัก มันเป็นข้อความลึกๆของใจ จะถามว่าหน้าตาเป็นแบบไหน ฉันคิดว่าคงหน้าตาเหมือนเธอ ก็ความรัก เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันยิ้มได้ ช่วยฉันให้มีความสุขไม่ว่าอยู่ไหน เธอรู้ไหม ทุกครั้งที่ใกล้เธอเป็นแบบนี้ มันเป็นข้อความลึกๆของใจ จะถามว่าหน้าตาเป็นแบบไหน ฉันคิดว่าคงหน้าตาเหมือนเธอ ก็ความรัก เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันยิ้มได้ ช่วยฉันให้มีความสุขไม่ว่าอยู่ไหน เธอรู้ไหม ทุกครั้งที่ใกล้เธอเป็นแบบนี้
ค่ะ..ฟังซะเพลินเลยซิค่ะ..สำหรับสถานที่ ที่จะแนะนำคุณผู้ฟังค่ะ ..อยู่ที่จังหวัดลพบุรี และสระบุรี ใกล้ๆบ้านค่ะ ทุ้งทานตะวัน ช่วงนี้น่าเที่ยวมาก เหมาะกับการถ่ายรูปมากเลย ยังไงก็ลองไปดูนะค่ะ และก็ถ่ายรูปมาอวดกันบ้างนะค่ะ.............
"โสดอย่างนี้มานานเท่าไหร่ เล่าใครจะรู้ โสดเป็นปีกี่เดือนกี่วัน ไม่เห็นจะมีใคร เข้ามาเติมเต็มถ่วงทำนอง ช่วงชีวิตที่มันขาดหาย ไม่รู้เมื่อไหร่..ใครหนออยู่ลำพังมันเหงาเหลือเกินโอ้ใจเอ๋ย วอนสายลมรำเพย ช่วยเอื้อนเอ่ยความรักไป ฝากเจ้านกที่เหินลม ช่วยหอบรักของข้านี้ไป มีใครได้ยินไหมช่วยตอบที * รถไฟขบวนสุดท้าย ผ่านชานชลาหรือยัง ใครหนอคือความหวัง จะมอบใจให้กับฉัน คนอื่นมีคู่รัก ปลอบตัวเองต้องมีสักวันจูงมือเดินเบียดกัน อยู่ที่ไหนเนื้อคู่ฉัน ** คนโสดมีบ้างไหม ลองยกมือขึ้นหน่อย จะได้ไม่ต้องคอย แอบมองแฟนคนอื่นอยู่อย่างนี้อยากมีใครอย่างเขามันอิจฉา น้ำตาตกในทุกที กอดหมอนอยู่ทั้งปี อยากจะมีใครสักคน ไว้ให้กอด อยากจะเมมเบอร์โทรสักคนว่าที่รัก ความคิดถึงมีที่หยุดพัก คงอุ่นในหัวใจ ฟ้าดลใจช่วยเร่งที บอกผ่านเพลงนี้ไป จะรักให้สาใจทิ้งความโสด*/**/**ฝากเพลงรักของข้านี้ไป กล่อมเธอให้ฝันดี จากใจหนึ่งดวงนี้ของคนโสด.. " นั่งฟังเพลงเบาๆ ในห้องพร้อมด้วยความรู้สึกที่เหงาๆภายในใจ อยากมีใครสักคนที่ค่อยอยู่ข้างๆ คอยปลอบโยนเวลาทุกข์ใจ หรือมีเรื่องที่ไม่สบายใจเข้ามาในชีวิต พูดแล้วอยากมีใครสักคนเดินเคียงข้างในชีวิต แต่ตอนนี้อยู่กับเพื่อนๆและเรียนก่อนดีกว่า........นอนดีกว่า

มหาวิทยาลัยของฉัน

ตอนนี้ข้าพเจ้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุระนารี เป็นมหาวิทยาลัยที่ข้าพเจ้าภาคภูมิใจในสถาบัน ด้วยการเรียนที่ต้องอาศัยความขยัน คือ เรียน 3 ภาคการศึกษาใน 1 ปี ไม่มีเรียนภาคฤดูร้อน ต้องอาศัยความอดทน เพราะกิจกรรมเยอะการเรียนที่รวดเร็ว ทั้งการเก็บคะแนน การสอบที่มาเร็ว แบบว่าบางทียังตั้งตัวไม่ทัน ด้วยการเอาใจใส่ของพี่นักศึกษาด้วยกัน อาจารย์ที่แสนดีพร้อมมอบความรู้แก่นักศึกษาทุกคน จึงทำให้การเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีศักยภาพที่สูง พูดได้ว่าใครที่เรียนจบมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เป็นบัญฑิตที่มีความรู้เต็มที่ พร้อมทั้งมีความอดทนมากด้วย....ภูมิใจในสถาบันมากมาย

การเปลี่ยนแปลง

"ไม่เอาอีกแล้ว ฉันพอทีกับความรัก ทุ่มเทกี่ครั้ง ฉันก็ยังต้องผิดหวัง กี่ทีกี่ครั้งที่เสียน้ำตา เจ็บจนอ่อนล้าฉันซ้ำเกินไป วิ่งตามแค่ไหนก็ได้เพียงเงา กับความเหงาใจ แค่เท่านั้น ได้เจอกับเธอ ก็เริ่มเข้าใจในความรัก คนที่บอบซ้ำ ได้มาเจอกับความหวัง จากสิ่งที่คิดว่ามันว่างเปล่า ที่เราไขว่คว้าไม่เคยมีจริง เธอนำความรักแท้จริงเข้ามาผูกพันในหัวใจ และวันนี้ฉันเปลี่ยนไป ตั้งแต่เมื่อฉันรู้จัก และฉันได้มาพบเธอ มันทำให้ฉันต้องเปลี่ยน เปลี่ยนแปลงหัวใจฉันไป ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ที่ฉันไม่เคยพบเจอ เพราะสำหรับฉันแต่ก่อน ความรักคือการคว้ามา แต่ในวันนี้ฉันเปลี่ยนความรักคือการให้ไป เพิ่งจะรู้และเข้าใจ เมื่อฉันได้มารักเธอ ตั้งแต่เมื่อฉันรู้จัก และฉันได้มาพบเธอ มันทำให้ฉันต้องเปลี่ยน เปลี่ยนแปลงหัวใจฉันไป ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ที่ฉันไม่เคยพบเจอ เพราะสำหรับฉันแต่ก่อน ความรักคือการคว้ามา แต่ในวันนี้ฉันเปลี่ยนความรักคือการให้ไป เพิ่งจะรู้และเข้าใจ เมื่อฉันได้มารักเธอ ตั้งแต่เมื่อฉันรู้จัก และฉันได้มาพบเธอ มันทำให้ฉันต้องเปลี่ยน เปลี่ยนแปลงหัวใจฉันไป ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ที่ฉันไม่เคยพบเจอ เพราะสำหรับฉันแต่ก่อน ความรักคือการคว้ามา แต่ในวันนี้ฉันเปลี่ยนความรักคือการให้ไป เพิ่งจะรู้และเข้าใจ เมื่อฉันได้มารักเธอ เพิ่งจะรู้และเข้าใจ เมื่อฉันได้มารักเธอ"
เพลงการเปลี่ยแปลง ของพี่บอย ทำให้หลายๆคนผิดหวังจากความรักครั้งเก่า ได้เริ่มต้นรักครั้งใหม่ด้วยดี โดยการเริ่มต้นรักครั้งใหม่ด้วยความเข้าใจ และมอบสิ่งดีๆแก่กันและกัน เพื่อสิ่งดีๆได้เกิดขึ้น ขอให้ทุกคนรักกันนานๆตลอดนิดนิรันดร์

คืนแรก

"เกลียดคำถามเธอ เมื่อยามที่พบเจอ ว่าวันนี้ฉันไม่เป็นไรใช่ไหม ถ้อยคำเหมือนหวังดี ที่เธอแค่พูดไป อย่างไม่รู้จะพูดอะไรเท่านั้น คนคนนึงที่โดนทิ้ง คงจะอยู่อย่างสุขสันต์ คำผ่านผ่านประเภทนั้น ถามเอาอะไร วันที่เธอมีเขาข้างกัน ข้างกายของฉันว่างเปล่า มันเหงาจะขาดใจ แต่ละคืนยาวนานและแสนยากเย็น ไม่รู้ต้องทำเช่นไร ให้ผ่านคืนโหดร้ายไปอีกคืน หากต้องกลั้นใจ ไถ่ถามเพื่อทักทาย ก็ช่วยถามบางคำที่ดีกว่านี้ อย่าทำเหมือนเห็นใจ อย่าทำเหมือนแสนดี เมื่อเธอเองที่เป็นตัวการทุกอย่าง คนคนนึงที่เธอทิ้ง คงไม่เจ็บเท่าไหร่มั้ง คงไม่ปวดหรอกความหลัง จะถามเอาอะไร วันที่เธอมีเขาข้างกัน ข้างกายของฉันว่างเปล่า มันเหงาจะขาดใจ แต่ละคืนยาวนานและแสนยากเย็น ไม่รู้ต้องทำเช่นไร ให้ผ่านคืนโหดร้ายไปอีกคืน วันที่เธอมีเขาข้างกัน ข้างกายของฉันว่างเปล่า มันเหงาจะขาดใจ แต่ละคืนยาวนานและแสนยากเย็น ไม่รู้ต้องทำเช่นไร ให้ผ่านคืนโหดร้าย วันที่เธอมีเขาข้างกัน ข้างกายของฉันว่างเปล่า มันเหงาจะขาดใจ หมดเวลาไปกับการร้องไห้จนหมดแรง ให้มันง่วงไป เพื่อผ่านคืนโหดร้ายไปอีกคืน"
เสียงเพลงที่ร้องจากซันนี้ หญิงสาวที่มีความกล้า และมีความมั่นใจได้ร้องออกไปด้วยเสียงที่เต็มเปี่ยมด้วยพลัง ซันนี้ทำงานเป็นนักเร้องที่ร้านอาหาร ด้วยเพราะเธอมีปัญหาเรื่องการเงินจึงต้องหารายได้พิเศษ นภา แมวมองสาววัยทอง ได้ไปพักผ่อนทานอาหารที่ร้านที่ซันนี้ทำงานอยู่ ได้สะดุดเสียงร้องอันไพเราะและชื่นชอบจึงได้ชักชวนซันนี้ลองไปร้องที่ค่ายเพลงแห่งหนึ่ง " เราชื่อไรเหรอ ร้องเพลงดีนี้ ลองไปร้องเพลงที่ค่าย ABC ดูไหมเพื่อได้ออกเทป" นภาพูดกับซันนี้ ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล "จะดีเหรอค่ะ แต่ลองดูก็ได้ค่ะ ขอบคุณ คุณ ? .." ซันนี้พูดตอบรับคำเชิญชวน และเชิงถามชื่อคู่สนทนา " อ้อ ฉันชื่อนภาจ้ะ เอานามบัตรแนไปนะ ว่างตอนนไหน ก็โทรมา เดี๋ยวฉันพาไปทดลองเสียงจ้ะ" "ค่ะ คุณนภา ขอบคุณมากค่ะ ยังไงซันจะโทรหานะค่ะ..." ซันนี้ตอบรับคุณนภาพร้อมด้วยความรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ทดลองเสียงที่ค่ายเพลงดัง

คำว่าพ่อ

พ่อ คำนี้มีผู้ให้นิยามความหมายไว้มาก แต่ข้าพเจ้าขอให้นิยามความหมายไว้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตขอข้าพว่า พ่อเป็นผู้ให้ชีวิตแก่ข้าพเจ้า เป็นร่มโพธิ์ร่มไซต์ของข้าพเจ้า เปรียบเหมือนพระในใจหรือเทวดาคอยคุ้มครองข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าพักอาศัยกับพ่อเลี้ยง ข้าพเจ้าเป็นลูกเลี้ยงของพ่อ แต่พ่อทำหน้าที่พ่อได้ดีมาก คอยอบรมสั่งสอนและดุแลเรื่องความเป็นอยู่ได้ดีมากที่สุด พ่อสอนให้ข้าเจ้าเป็นคนดี ตั้งใจเรียนหนังสือ และมีความอดทน หลายครั้งที่ข้าพเจ้าเข้าใจพ่อผิด ด้วยทิธิที่มีในตัว และเชื่อมั่นในตัวเองมาก เชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำนั้นถูกที่สุด สุดท้ายก็ต้องเสียใจ พ่อต้องคอยมาลำบากด้วยกับการกระทำของเรา แต่พ่อก็ไม่เคยบ่น หรือรังเกียจข้าพเจ้าเลย วันนี 5 ธันวาคม 2552 เป็นวันพ่อ วันสำคัญอีกวันของข้าพเจ้า ที่ต้องทำหน้าที่เป็นลูกที่ดี แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นวันนี้ที่ต้องเป็นลูกที่ดี คือต้องเป็นลูกที่ดีทุกวันและเป็นตลอด รักพ่อคนนี้มาก ขอบคุณที่ได้เป็นลูกพ่อ แม่ของข้าพเจ้าเลือกคนไม่ผิดเลย

การแบ่งเวลา

การแบ่งเวลาถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราหากแบ่งเวลาไม่ถูก ไม่รู้ความรับผิดชอบของตัวเองแล้ว เราก็ไม่สามรถจัดระบบชีวิตของเราได้ ดังเช่นข้าพเจ้าเป็นนักศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยหนึ่ง ในประเทศไทย แต่ข้าพเจ้ามักไปอิงความรับผิดชอบที่นอกเหนือจากหน้าที่ของตัวเองคือการศึกษา แต่ไปอิงที่งานนอกเวลา คือการทำงานพิเศษ ทำให้พักผ่อนไม่เป็นเวลา ทำงานส่งอาจารย์ไม่ทัน ไม่ค่อยได้เข้าสาขาวิชาที่เรียนอยู่ และการที่ทำนอกเวลาต้องนอนดึก บางทีเกือบสว่าง ครอบครัวก็มีปัญหาเรื่องการเงิน ข้าพเจ้าก็เป็นคนชอบจ่าย จึงทำให้เงินขาดมือต้องทำงานเพื่อหารายได้พิเศษ รู้แล้วว่าการที่เราสะสมงาน และแบ่งเวลาไม่ถูกทำให้หน้าทีของเรา ที่รับผิดชอบต้องมีผลกระทบมาก หลายรายวิชา แต่โชคดีอาจารย์ที่สอนมหาวิทยาลัยนี้ ไม่ทิ้งนักศึกษาให้โอกาสนักศึกษาทุกคน จึงทำให้ข้าพเจ้าเรียนทันและทำงานส่งทัน อาจารย์เป็นพระคุณกับข้าพเจ้ามาก เพราะทำให้ข้าพเจ้าได้คิด และรู้ว่าการแบ่งเวลาไม่ถุก และลำดับความสำคัญผิด ทำให้ระบบการจัดการความคิดและชีวิต ของตัวเองผิดหรือเหลวไหลไป บทเรียนครั้งนี้ทำให้ข้าพเจ้าได้คิดมาก และจะไม่ทมำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก ต่อไปข้าพเข้าขอเป็นนักศึกษาที่มีความรับผิดที่มากขึ้น และแบ่งเวลาได้ดี และใช้จ่ายอย่างพอควร ปัญหาที่เกิดคงไม่เกิดขึ้นอีกแน่นอน กราบขอบพระคุณโอกาสที่อาจารย์มอบให้

คุณครูค่ะ

ขอครูรักเมตตาศิษต์สักนิด
ชี้ทางถูก ทางผิดมิสงสัย
ขอครูเป็นคนดีที่จริงใจ
สอนศิษย์ให้เป็นคนดีในสังคม
ครู คำนี้มีผู้ให้นิยมความหมายไว้มากมาย แต่ไม่ว่าจะนิยามความหมายใดก็ตาม ครู นับว่าเป็นผู้ที่มีพระคุณต่อศิษย์

กลอนของพ่อ

พ่อและแม่ไม่มีทองจะกองให้
จงตั้งใจพากเพียงเรียนหนังสือ
หาวิชาความรู้เป็นคู่มือ
เพื่อยึดถือเอาไว้เพื่อใช้งาน
พ่อกับแม่มีแต่จะแก่เฒ่า
จะเลี้ยงเจ้าเลื่อยไปนั้นอย่าหมาย
ใช้วิชาความรู้เป็นคู่กาย
เจ้าสบายพ่อปละแม่ก็ชื่นใจ
เป็นบทกลอนที่พ่อให้ข้าพเจ้าท้องทุกวัน และท่องจนขึ้นใจอยู่ในสายเลือดของข้าพเจ้า เพื่อใช้เป็นหลักในการเรียนการศึกษา ข้าพเจ้ารักพ่อมาก พ่อเป็นผู้ชายที่มีความรับผิดชอบมาก พ่อใจดีแม้บางทีอาจไม่ค่อยได้พูดคุยกัน ด้วยเพราะพ่อไม่ค่อยมีเวลาว่างเท่าไรนัก เพราะต้องทำงานหนักเพื่อดูแลทุกคนภายในครอบครัว แต่พ่อก็ไม่ลืมอบรมสิ่งดีๆแก่ลูกๆ และกลอนของพ่อลูกทุกคนก็ยังจดจำได้เสมอ
รักพ่อมาก

ไสยศาสตร์กับชีวิต

มนุษย์ทุกคนล้วนแล้วต่างหาความสุขให้กับตัวเอง ทั้งหาความสุขที่เกิดจากการมีปัจจัยพื้นฐาน คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และที่อยู่อาศัย หรือความสุขที่เกิดจากการมีทรัพย์สินเงินทอง อำนาจ บริวาล ที่มากล้นเพื่อเติมเต็มความสุขให้กับตัวเอง หากเปรียบก็คงมองเหมือนแก้วที่เติมน้ำไม่รู้พอ ถ้ามองในประเด็นทางพระพุทธศาสนาก็คงหมายถึง กิเลสที่ไม่รู้พอของมนุษย์ โลกของความจริงมีหลายเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งเกิดจากความเชื่อ ความศรัทธา หรือต้องพ้นจากสภาพที่เป็นทุกข์ เช่น เรื่องหน้าที่การงาน เรื่องชีวิตรักครอบครัว หรือเรื่องทรัพย์สินเงินทอง เราทุกคนต่างต้องการให้อยู่ในความพึ่งพอใจของตน เพื่อเป็นพื้นฐานนำไปสู่ความสุขในชีวิต ที่เราไม่อาจนิยามถึงความสุขของแต่ละบุคคลได้ ถึงแม้จะมีนิยามต่างๆมาเป็นข้ออ้างก็ตาม เช่น ทฤษฎีสัจนิยม หรือทฤษฎีอสุขนิยม ก็ตามแต่ในโลกความเป็นจริงความสุขของแต่ละบุคคลก็ต่างกันไป ในบทความนี้ข้าพเจ้าจะขอชี้ให้เห็นถึงความสุข ความสำเร็จ อีกมุมมองหนึ่ง ที่เกิดจากไสยศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่เกิดจากความเชื่อ ความศรัทธา ที่ต้องอาศัยจิตวิญาณในการสัมผัสเพื่อเข้าถึงตัวศาสตร์ ข้าพเจ้าขอกล่าวในประเด็นไสยศาสตร์กับชีวิต เพื่อชี้ให้เห็นถึงคุณภาพชีวิตกับการพัฒนา
“ไสยศาสตร์” ก็ถูกนับรวมอยู่ในทฤษฎี “อาจเป็นไปได้” เพราะมีการกระทำได้จริงในบางครั้งและกระทำไม่ได้ในบางครั้ง ผลของการกระทำจากวิทยาศาสตร์มักเป็นการกล่าวอ้างโดยไม่มีหลักฐานหรือยืนยันรับรองทำให้ขาดน้ำหนักต่อการเชื่อถือและก่อให้เกิดความลังเลสงสัย ซึ่งอดีตและปัจจุบันก็ยังเป็นข้อกังขาอยู่ในสังคม ข้าพเจ้าได้ศึกษาถึงเรื่องไสยาศาสตร์มาพอสมควรเพื่อรวบรวมข้อมูล โดยไสยศาสตร์สามารถแบ่งออกเป็น 3 อย่าง คือ ทางไสยศาสตร์สายขาว ไสยศาสตร์สายดำ และไสยเวท แต่ละอย่างก็จะแตกต่างกันออกไป โดยข้าพเจ้าขอยกตัวอย่าง หลวงปู่ฝั่นอาจาดร วัดป่าอุดมสมพร จังหวัด สกลนคร ซึ่งท่านได้ใช้พระเวทปัดลุกระเบิด เผชิญผีกองกอย สั่งรถหยุด หรือปฏิหาริย์เงาดำที่ขึ้นชื่อ แต่ละสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ยากที่จะเกิดขึ้น แต่ได้เกิดขึ้นแล้ว โดยอาศัยอำนาจทางจิต และไสยศาสตร์เข้ามาช่วย ขอยกตัวอย่างเรื่องที่หลวงปู่ฝั่น ได้ช่วยเหลือชาวจังหวัดนครราชสีมา ในครั้งนั้นจังหวัดนครราชสีมาได้เป็นเป้าหมายโจมตีทางอากาศของฝ่ายสัมพันธมิตร จอมพลผิน ชุณหะวัน ซึ่งตอนนั้นคุมกำลังอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมามีความเชื่อ และศรัทธาต่อหลวงปู่มาก ได้ขอให้หลวงปู่ช่วย และหลวงปู่ได้ช่วยชาวจังหวัดนครราชสีมาให้ปลอดภัยจากอันตรายนั้นได้สำเร็จ ปรากฏการณ์ความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น จากพลังอำนาจจิตและพลังอาคมสามารถปัดระเบิดทุกลูกได้
(โดย อ.อิทธิเวท และราช รามัญ ) หรือเรื่องทำเสน่ห์ ที่คนเราเกิดมามีทั้งสมหวังและผิดหวังไม่ว่าในเรื่องใดก็ตามล้วนขึ้นอยู่กับปัจจัยของตัวบุคคลนั้นๆ คือการมีบุคลิกภาพ รูปร่าง หน้าตา และลักษณะนิสัย ที่เป็นที่ดึงดูดความสนใจ บางคนประสบความสำเร็จทุกอย่าง แต่อาจผิดหวังในเรื่องของความรัก ผู้หญิงบางคนหน้าตาดีแต่ถูกทิ้งก็มี ทุกอย่างล้วนเป็นปัญหาคาใจได้ทั้งนั้น การแก้ปัญหาทางออกขึ้นอยู่กับจิตใต้สำนึกของแต่ละคนบางคนคิดสั้น บางคนคิดยาว บางคนคิดไกล บางคนคิดหาทางลัด ก็ว่ากันไปตามแต่กิเลสครอบงำ แต่คนบางคนก็อาจเลือกทางลัดในการสมหวังในเรื่องของความรักโดยอาศัยไสยศาสตร์เพื่อนำไปสู่ผลสำเร็จ โดยการทำเสน่ห์ ซึ่งทั้งหมดนี้ต่างก็อาศัยอำนาจทางจิตใจ ความศรัทธา ความเชื่อ เพื่อนำไปสู่ความสุขสมหวังของแต่ละบุคคล
อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าเห็นว่าไสยศาสตร์กับคุณภาพชีวิตต่างเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก และต้องใช้อำนาจทางจิตใจเพื่อเข้าถึง บ้างคนเชื่อ ศรัทธา บ้างคนไม่เชื่อ ไม่ศรัทธา ไม่สามารถเข้าถึงได้ แต่หากเราพอใจในสิ่งที่มีอยู่ สภาพที่เป็น ทำความดี และมีพระพุทธศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตแล้ว จิตเราก็จะสงบ สามารถเข้าถึงความสุขที่แท้จริงได้ โดยไม่ต้องอาศัยไสยาศาสตร์ใดๆ แต่อำนาจทางไสยศาสตร์นี้ก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องการข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อเป็นข้อบกชี้ถึงข้อเท็จที่มีอยู่ภายในตัว........

14 ตุลาคม 2552 (วันรับปริญญา )

ถ้าพูดถึงวันนี้ หลายคนคงมีความรู้สึกตื่นเต้น และภูมิใจที่มีวันนี้ โดยเฉพาะพี่บัญฑิตที่จบการศึกษา แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้น คือการตื่นเต้นมากมายสำหรับการนำความรู้ที่เรียนมาใช้งานอย่างเต็มกำลังความสามารถ แต่ในอีกมุมมองหนึ่งถ้าพูดถึงกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่ง จะขอพูดถึงนักศึกษารุ่นน้องที่เตรียมความพร้อมให้รุ่นพี่ คือการจัดเตรียมสถานที่และบรรยากาศภายในงาน เพื่อให้ประทับใจพี่ๆและผู้ปกครองที่มาร่วมแสดงความยินดี บอกตรงๆทั้งเหนื่อยกายแต่ไม่เหนื่อยใจ ถ้าบรรยายถึงภาพที่เห็นพี่บัญฑิตที่สวมชุดรับปริญญา ภูมิใจและดีใจยังไง บอกไม่ถูกจริงๆ งานในวันนั้นทุกคนพร้อมใจและร่วมมือกันเป็นอย่างดี เพื่อแสดงศักยภาพของแต่ละสาขาวิชาวิชา ทุกสาขาล้วนแต่เต็มที่กับงาน การเป็นนักศึกษาถือว่ากิจกรรมวันนี้เป็นกิจกรรมที่สำคัญมาก กิจกรรมหนึ่ง ที่ทุกคนต้องร่วมมือกัน กว่าจะเสร็จงานก็นานพอควร จนกระทั้งเพื่อนคนหนึ่งไม่สบายต้องนำส่งโรงพยาบาล แต่ก็ไม่เป็นอะไรมากเกิดจากไม่ทานข้าว และหนักกับกิจกรรมเป็นหน่อย จะทำอะไรก็ดูแลสุขภาพบ้างนะค่ะ วันนี้มีการถ่ายภาพประทับใจและการเดินขบวนที่สวยงาม เสร็จงานทุกคนต่างช่วยกันเก็บของที่นำมาจัดสถานที่กันอย่างขมัคเขม้น หลังจากเตรียมงานมาหลายวัน

กลอนแทนใจ มทส.(หลักสูตรนิเทศศาสตร์ โดย เนตรชนก)

นาทีแรกนับจากที่ย่างก้าว ผ่านเรื่องราวความรู้สึกทั้งอ่อนไหว
อาจแข็งก้าวไปบ้างในคราใด หรือหวั่นใจหวาดกลัวด้วตัวตน
แต่เมื่อได้หลวมรวบความเป็นหนึ่ง ทั้งได้พึ่งพิงพักเลิกสับสน
คนหมู่มากมาประสานหลายพันคน รวมจากต้นถึงปลายคล้ายคลึงกัน
แปรเปลี่ยนสีสายเลือดเหมือนแสดทอง ถูกเฝ้ามองจากสายตาคุณย่าฉัน
กลายเป็นหนึ่งในส่วนเสี้ยวกลุ่มเดียวกัน ป่านด้ายปั่นถักทอเป็นสายใย
ผูกสัมพันธ์เชื่อมโยงเป็นหมู่มิตร คือนิสิต มทส แม้วันไหน
วันจะเปลี่ยนเดือนจะลับล่วงเลยไป เส้นป่านใยไม่ขาดออกจากมือ
จดจำ ณ สถานที่ที่เคยอยู่ ทั้งความรู้ความคิดที่ยึดถือ
ก่อนจากลาเพื่อไปสร้างความเลื่อนลือ พร้อมเป็นสื่อสู่มวลชนคนบันเทิง

กลอน มอส สถาบันแห่งการวิจัยเยี่ยมเทคโนโลยีล้ำเลิศ

สูงเด่นเป็นสง่าอยู่กลางฟ้า ตระหง่านท้าต้านลมต้นฤดูหนาว
ขนามนามขานชื่อลือแดนด้าว อยู่คู่ชาวปีบทองผ่องอำไพ
เป็นเสมือนสัญลักษณ์สดุเด่น เป็นดังเช่นแห้วลุกโตขนานใหญ่
เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างประดับใจ ต่อผู้ใดก็ตามที่พบเจอ
นับแต่แรกเริ่มก่อตั้งสถาบัน ได้สร้างสรรค์วิชาการมาเสมอ
อาคารซีจัดตั้งข้างคุณย่าเธอ ช่างเลิศเลอสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่สถาบัน
ด้านเกษตรเทคโนโลยีกีฬาเลิศ ก่อให้เกิดฟาร์มมอพิถีพิถัน
ผลิตอาหารทำนมห้กินกัน ราคานั้นอย่าพูดถึงแพงเกินไป
เมื่อไม่นานมานี้มีสาขา เพิ่มขึ้นมาเป็นหลักสูตรวิชาใหม่
ทั้งการแพทย์พยาบาลบานตะไท รวบเข้าไปวิศวะกรรมอากาศยาน

“การรักษาความดีในตน ส่งผลให้สังคมดีงาม”

“.....การทำความดีนั้น สำคัญที่สุดอยู่ที่ตัวเอง ผู้อื่นไม่สำคัญและไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องเป็นห่วงหรือต้องรอคอยเขาด้วย เมื่อได้ลงมือลงแรงกระทำแล้ว ถึงแม้จะมีใครร่วมมือด้วยหรือไม่ก็ตาม ผลดีที่ทำจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน และยิ่งทำมากเข้านานเข้า ยั่งยืนเข้า ผลดีก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น และแผ่ขยายกว้างออกไปทุกที คนที่ไม่เคยทำความดีเพราะเขาไม่เคยเห็นผล ก็จะได้เห็นและหันเข้าตามอย่าง....”
พระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
จากพระบรมราโชวาท แสดงให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นในการทำความดี ซึ่งไม่ได้เริ่มจากกลุ่มคน หรือรอคอยบุคคลใด บุคคลหนึ่ง แต่เป็นการเริ่มต้นจากตนเอง ไม่จำเป็นต้องรอคอยใคร หากได้ลงมือ ลงแรง ทำความดีแล้ว ผลจากการที่ทำความดีย่อมเกิดขึ้นแน่นอน คนที่ไม่เคยทำดีเพราะไม่เคยเห็นผลหรือท้อใจในการทำความดี ก็จะหันกลับมาทำความดี ส่งผลให้สังคมดีงามตามมา
การทำความดี คือ การไม่ทำให้ผู้อื่นเดือนร้อน ไม่เบียดเบียนทั้งกับตนเองและผู้อื่น ไม่มั่วเมากับสิ่งของที่ไม่ใช่ของตนเอง หรือผลประโยชน์ที่เป็นของส่วนร่วม ไม่เสพสุขกับสิ่งของที่เป็นส่วนเกิน เช่น ทรัพย์สมบัติของชาติบ้านเมือง เป็นต้น การทำความดีนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายดายและไม่ยากนักแต่มีหลายคนในสังคม ที่ไม่เข้าใจว่าการทำความดีต้องเริ่มต้นอย่างไร ดิฉันเองมีความเชื่อว่าทุกคนต่างต้องการทำความดี เพราะทำความดีแล้วก็จะได้รับผลตอบแทนที่ดี ทั้งกับตนเอง และสังคม เช่น อยากจะอยู่ที่ไหน ก็อยู่ได้อย่างสบาย เพราะมีคนอยากให้อยู่ , อยากจะไปไหน ก็ไปได้สะดวก เพราะมีคนอยากให้ไป ,อยากจะทำอะไร ก็ทำสำเร็จ เพราะมีคนอยากช่วยเหลือ และสิ่งที่แน่นอนเสมอคือ ใจเราก็มีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำ
สังคมคมไทยในอดีต เป็นสังคมที่ร่มเย็น ผู้คนต่างมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน มีปัญหาก็ช่วยเหลือกัน โดยไม่หวังผลกำไร หรือผลตอบแทนที่ได้รับ เช่น การร่วมทำนาหรือที่เรียนว่าประเพณีการลงแขก ชาวบ้านต่างร่วมมือร่วมแรงช่วยเหลือกัน โดยไม่หวังเงินทองหรือค่าตอบแทนใดๆ อยู่กันเหมือนพี่เหมือนน้อง ดำเนินชีวิตกันแบบเรียบง่ายไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน มีความรักและความสามัคคี สังคมอยู่อย่างสงบสุขอยู่กันแบบพอเพียง แต่ในปัจจุบันนี้สังคมไทย ต่างเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตจากเดิมมาก แทบจะมองหา ความมีน้ำใจในสังคม หรือการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การช่วยเหลือกันโดยไม่หวังผลตอบแทนยาก ต่างใช้ทรัพย์สินหรือเงินทองเป็นตัวประเมินค่าความสุขของตนเอง อาจเนื่องมาจากสภาพทางเศรษฐกิจในสังคมที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ค่านิยมในสังคม ที่ใช้ทรัพย์สิน เงินทอง ในการประเมินค่าความสุขให้กับตนเอง บางครั้งอาจเป็นการเบียดเบียนผู้อื่น หรือคนรอบข้างอีกด้วย ผู้คนต่างทำงานแข่งขันกับเวลา หวังผลกำไรเป็นส่วนใหญ่ มองหาผลประโยชน์ส่วนตัว ใช้จ่ายเกินความจำเป็น ส่งผลกระทบต่อคนในสังคม หลายครั้งที่มีการเอารัดเอาเปรียบของคนในสังคม ทำให้เกิดปัญหาต่างๆตามมามาก เช่น ปัญหาความยากจนที่เกิดขึ้นภายในประเทศซึ่งถือเป็นปัญหาอันดับหนึ่งที่แก้ไขไม่ได้สักครั้ง ไม่ว่าจะมีมาตรการใดๆมาช่วยแก้ไขปัญหาก็ตามแต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหานั้นได้ ปัญหายาเสพย์ติด ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาการลักล้อมขายสมบัติของชาติ เป็นต้น ทั้งหมดนี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตที่ผิด ยอมรับค่านิยมที่ไม่ถูกต้อง มีมุมมองและทัศนคติในการดำเนินชีวิตโดยยึดหลักวัตถุนิยม เน้นความสะดวกสบาย และมีการพัฒนาสภาพจิตใจที่น้อยมาก คนในสังคมห่างไกลจากวัดวาอาราม ไม่มีที่พึ่งหรือที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ไม่มีหลักในการดำเนินชีวิต คนในสังคมจึงละทิ้งในการทำความดี หันมาทำความชั่วหรือนิ่งเฉยที่จะทำความดี เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตนต้องการ หรือบางคนไม่กล้าทำความดีเพราะกลัวที่จะทำ และไม่รู้ว่าทำแล้วตนจะสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขหรือไม่ จะมีทรัพย์สินเงินทองมาปรนเปรอความสุขให้กับตนเองและครอบครัวได้อย่างไร และไม่รู้ว่าจะเริ่มตนทำความดีได้อย่างไร หรือรอให้คนอื่นทำก่อน การทำความดีก็คงไม่เกิดขึ้น หากเป็นเช่นนั้นแล้วสังคมไทยจะเป็นสังคมที่สงบสุขและมีความดีงามได้เช่นไร หากคนในชาติยังคงปฏิบัติตัวเช่นนี้อยู่
คนไทยถือว่าโชคดีที่มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงตั้งอยู่ในความดี เป็นแบบอย่างให้กับคนไทยและคนทั่วโลก โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทเกี่ยวกับการทำความดีไว้หลายประการ โดยดิฉันได้กล่าวไปเมื่อสักครู่นี้ และดิฉันขอยกเอาพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาอีกประการหนึ่งเพื่อเป็นหลักในการทำความดีที่ถูกต้องของเยาวชนไทยและเยาวชนทั่วโลก
“........การที่บุคคลจะทำความดีให้ได้จริง และต่อเนื่องไปโดยตลอดได้ จะต้องอาศัยหลักปฏิบัติที่ถูกต้องแน่นอน. ประการแรกจะต้องมีศรัทธาเชื่อมั่นในความดี เห็นว่าความดีหรือสุจริตธรรมย่อมไม่ทำลายผู้ใด หากแต่ส่งเสริมให้เป็นคนสะอาดบริสุทธิ์ และเจริญมั่นคง. เมื่อเกิดศรัทธาแน่วแน่ในความดีแล้ว ก็จะต้องตั้งกฎเกณฑ์ ตั้งระเบียบให้แก่ตนเอง สำหรับควบคุมประคับประคองให้ปฏิบัติแต่ความดี และรักษาความดีไว้อย่างเหนี่ยวแน่น ไม่ให้บกพร่อง คลอนแคลน. พร้อมกันนั้น ก็จะต้องพยายามเพิกถอน ลด ละ การกระทำ และความคิดอันจะเป็นเหตุบั่นทอนการกระทำดีของตนด้วยตลอดเวลา. สำคัญยิ่งกว่าอื่น ทุกคนจะต้องอาศัยปัญญา ความฉลาดรู้เหตุผล เป็นเครื่องตรวจสอบ พิจารณา วินิจฉัย การกระทำความประพฤติทุกอย่างอยู่เสมอโดยไม่ประมาท เพื่อมิให้ผิดพลาดเสื่อมเสีย. เมื่อประกอบความดีได้โดยถูกถ้วน ก็ย่อมได้รับประโยชน์ที่สมบูรณ์แท้จริง คือประโยชน์ที่เกื้อกูลให้มีความสุขความเจริญได้ในปัจจุบัน และยั่งยืนมั่นคงตลอดไปถึงภายหน้า.......”
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
ไม่มีอำนาจใดๆเลยที่จะทำให้ เราอยู่เย็นเป็นสุขได้ นอกจากพวกเราทุกคนจะต้องสร้างสรรค์ชีวิตให้ดี โดยการทำความดีและน้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชไปปฏิบัติ รักษาความดีของตน เช่นดังเกลือที่รักษาความเค็ม และผลจากการทำความดีนั้นก็จะส่งผลให้สังคมดีงาม .

ชีวิตหลงทาง

ช้าง ช้าง ช้าง น้อง เคย เห็น ช้าง หรือ เปล่า
ช้าง มัน ตัว โต ไม่ เบา จมูก ยาวๆ เรียกว่า งวง
มีเขี้ยวใต้งวง เรียกว่า งา มีหู มีตา หางยาว
เมื่อพูดถึงคำว่าช้าง หลายคนคงนึกถึงเพลงนี้ขึ้นมา มะลิก็เป็นอีกคนที่นึกถึงเพลงนี้ เป็นเพลงสมัยตอนเด็กที่เรียนอยู่ชั้นอนุบาล ผ่านมาสิบกว่าปีแล้วเพลงช้างก็ยังเป็นเพลงที่ใช้สอนทักษะของเด็กอนุบาลเช่นเคย ตอนเด็กเท่าที่จำได้ดิฉันอยู่กับแม่ ตา และ ยาย ซึ่งพ่อของมะลิได้แยกทางกับแม่แล้ว เนื่องจากได้มีคนใหม่ แต่มะลิก็ไม่ได้โกรธหรือเกลียดพ่อผู้ให้กำเนิดตัวเองเลย ตั้งแต่มะลิเกิดมาไม่เคยได้เห็นหน้าหรือพูดคุยกับพ่อเลย แม้แต่เพียงครั้งเดียว จนแม่ของมะลิเองได้แต่งงานใหม่กับพ่อคนปัจจุบัน มะลิดีใจมาก ที่ได้มีพ่อเหมือนคนอื่นๆ พ่อคนนี้เคยมีครอบครัวมาก่อน แต่ได้แยกทางกันเหมือนแม่ของมะลิ พ่อคนนี้เป็นคนดี รักแม่ของมะลิมาก พ่อใหม่และแม่ของมะลิก็ตกลงกันว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ตัวกัน หลังจากที่ผิดหวังในเรื่องของครอบครัวมาแล้วเหมือนกันทั้งสอง พ่อใหม่ของมะลิรักมะลิเหมือนลูก ทะนุถนอมมะลิ เอาอกเอาใจมะลิทุกอย่าง และอบรมสั่งสอนมะลิในทางที่ดีตลอด ทำให้มะลิรักพ่อใหม่มาก แต่ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์และลงเอยได้อย่างมีความสุขง่ายๆ ยายซึ่งเป็นแม่ของแม่มะลินั้น เกลียดชั่งพ่อใหม่ของมะลิมาก หาทุกวิถีทางเพื่อกำจัดพ่อใหม่ของมะลิ แต่ด้วยความที่พ่อใหม่ของมะลิมีความอดทนอดกลั่นมาก จึงอยู่กับมะลิและแม่ของมะลิต่อไป จนวันหนึ่งพ่อใหม่ของมะลิและแม่ของมะลิ ได้นำเงินที่เก็บ มาซื้อรถหกล้อหนึ่งคัน เพื่อบรรทุกรับจ้าง ยิ่งทำให้ยายของมะลิเกลียดมากยิ่งขึ้น จึงได้สั่งให้น้าของมะลิ กำจัดพ่อใหม่และแม่ของมะลิ ซึ่งเป็นพี่สาวของตน ทำให้พ่อใหม่และแม่ของมะลิ ต้องรีบหนีด้วยการไม่มีอะไรเลยนอกจากรถหกล้อและเงินจำนวนน้อยนิด และได้นำมะลิมาด้วย โดยถามมะลิว่า “จะอยู่กับแม่ หรือจะอยู่กับยาย “ด้วยความรักที่มะลิรักแม่มาก จึงตัดสินใจไปกับแม่ มะลิเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆต้องลำบากกับพ่อใหม่และแม่ มะลิเองต้องลาออกจากโรงเรียนประจำหมู่บ้านที่เรียนอยู่ ด้วยการที่ไม่สามารถมาเรียนได้ตามปกติ แต่มะลิได้เข้าเรียนก่อนเกณฑ์อยู่แล้ว จึงไม่มีปัญหาตามมา ในเวลานั้นเองแม่ของมะลิได้ตั้งท้องได้แปดเดือนซึ่งท้องโตมาก มะลิกลัวแม่ของตนได้รับอันตราย จึงเสียสละให้แม่นอนบนที่นั่ง และตนนอนตรงที่วางเท้าเล็กๆ มะลิเป็นเด็กที่มีความอดทนมาก เพราะแม่ของเธอสอนเธอเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่ด้วยความที่เป็นเด็กมะลิเองได้เกิดป่วยขึ้นมา แม่ของมะลิจึงตัดสินใจให้มะลิมาอยู่กับป้าของเธอ ป้าเธอรักเธอมาก มะลิขยันทำงานช่วยป้า เชื่อฟังป้า และรักป้ามาก ป้าเองก็รักมะลิมากเหมือนลูกของตนเช่นกัน หลังจากที่มะลิมาอยู่กับป้า มะลินอนร้องไห้คิดถึงแม่ทุกวัน แต่ไม่ร้องไห้ให้ใครเห็น แอบร้องตอนกลางคืน พอเช้ามาก็ทำตัวปกติ นานๆที แม่และพ่อใหม่ของมะลิจะมาเยี่ยมมะลิ และนำของฝากมาให้มะลิ มะลิดีใจมากและเมื่อมะลิคิดถึงแม่ก็จะเอาเสื้อที่แม่ซื้อมานอนกอด ไม่นานนักพ่อใหม่และแม่ของมะลิได้บ้านเช่า แม่มะลิได้คลอดน้องมา ทำให้มะลิดีใจและอยากไปดูแลน้อง จึงขอป้าของตนย้ายมาอยู่กับแม่ ป้าก็ได้อนุญาต มะลิจึงย้ายมาอยู่กับแม่และได้มาเรียนอนุบาลต่อที่นั้น พ่อใหม่และแม่ของมะลิ ขยันหาเงินมีความพยายามและอดทนทำให้มีเงินมาลงทุน เปิดร้านค้าที่นั้น มะลิต้องตื่นแต่เช้ามาช่วยพ่อและแม่เปิดร้าน ทำความสะอาดบ้าน และอาบน้ำแต่งตัวเองกินข้าว และเดินไปโรงเรียน มะลิต้องปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่ในเวลานั้น ด้วยการที่เป็นโรงเรียนใหม่ เพื่อนใหม่ แต่มะลิไม่กลัว และกล้าแสดงออก กล้าถามและทักทายเพื่อนใหม่ ครูและเพื่อนๆที่นั้นต่างรักและชื่นชอบในตัวของมะลิ กลับจากโรงเรียนมะลิจะช่วยแม่ขายของ เลี้ยงน้อง ล้างขวดนมน้องเป็นประจำ และจะปิดร้านช่วยพ่อแม่ตลอด เชื่อฟังพ่อแม่ และขยันทำการบ้าน อ่านหนังสือ ค้นคว้านหาความรู้ให้กับเธอเอง เมื่อผลไม้ที่วางขายเริ่มจะขายไม่ได้แล้ว แต่ยังพอจะขายได้ เธอจึงได้นำผลไม้ใส่ถังน้ำเอาไปขายตามบ้านชาวบ้านในหมู่บ้านนั้น ทุกครั้งที่มะลินำไปขายชาวบ้านต่างสงสาร และซื้อผลไม้กัน มะลิจะนำเงินที่ขายผลไม่ได้มาให้แม่ที่บ้าน และช่วยงานแม่ต่อไป ไม่นานก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น พ่อใหม่ของมะลิได้ออกไปขับรถรับจ้าง แม่ น้องของมะลิ และมะลิเองได้นอนอยู่ในบ้าน กลางดึกมีโจรมาปล้นของภายในร้าน แม่ของมะลิได้สู้กับโจร โดยมีมีดเพียงด้ามเดียว โจรตกใจกลัวมากจึงได้หลบหนีไป แม่ได้เข้าแจ้งความต่อสถานีตำรวจ เมื่อตำรวจสืบเรื่องได้ จึงรู้ว่าโจรที่ปล้นนั้น เป็นลูกชายของกำนัล ซึ่งมีคดีอีกหลายคดี พ่อใหม่แม่ น้องและมะลิ จึงได้ย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านของยาย เพราะยายได้ย้ายไปอยู่กับป้า ทำให้บ้านที่อยู่ไม่มีใครอยู่อาศัย พ่อใหม่แม่ของมะลิจึงย้ายมาอยู่ และเปิดร้านขายของชำเช่นเดิม มะลิได้ย้ายมาเรียนที่โรงเรียนประจำหมู่บ้านเช่นเดิม
เวลาผ่านไปได้ 3 ปีมะลิ ครอบครัวของมะลิเริ่มมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ด้วยความพยายาม ของพ่อใหม่และแม่ของมะลิ อีกทั้งมะลิเองก็เป็นกำลังที่ดีให้กับครอบครัว ยายและป้าของมะลิ ด้วยความรักและเป็นห่วงมะลิมาก จึงได้บอกความจริงกับมะลิรู้ว่า พ่อที่อยู่ด้วยไม่ใช่พ่อผู้ให้กำเนิดตน และบอกให้มะลินั้นเกลียดชั่งพ่อ ไม่ต้องเชื่อฟังพ่อคนนี้ ทำให้มะลิเสียใจมาก และครอบครัวมะลิก็เริ่มมีปัญหาเข้ามา มะลิเริ่มมีปัญหากับพ่อใหม่ ไม่ช่วยงาน บอกอะไรก็ไม่เชื่อ ทำให้แม่หนักใจมาก แต่ไม่รู้จะทำยังไง มะลิเป็นเด็กฉลาดเรียนดี ป้าของเธอจึงได้สนับสนุนเธอในเรื่องเรียน จึงได้ส่งให้เธอไปเรียนพิเศษในช่วงปิดภาคการเรียนกับน้า มะลิกล้าที่จะเผชิญกับโลกภายนอก ทำให้เธอได้พบประสบการณ์ใหม่ๆ และได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเข้ามา เมื่อเปิดภาคการเรียนมะลิก็กลับบ้าน และทำหน้าที่ของตัวเองเช่นเดิม แต่ยังมีปัญหากับพ่อใหม่เช่นเคย ด้วยความเป็นเด็กที่หลงเชื่ออะไรง่ายๆ ครอบครัวของมะลิจึงมีปัญหาสะสมมาเลื่อยๆ แต่พ่อใหม่และแม่ของมะลิทุกคนสู้มากฝ่าฝันอุปสรรค์ทุกอย่าง จึงไม่เอาปัญหาเรื่องนี้มาคิดมากให้หนักใจ เอาเวลาหาเงินหารายได้เข้าสู่ครอบครัว ป้าของมะลิมีรายได้มาก จึงส่งให้มะลิเข้ามาเรียนในเมือง มาอยู่กับป้าคนโต มะลิขอแม่ของเธอว่าเธอมีโอกาสแล้วแม่จะอนุญาตหรือไม่ แม่ของเธอจึงอนุญาตให้เธอเข้ามาเรียนในเมือง มะลิเป็นเด็กที่กล้าแสดงออก และปรับตัวได้ง่าย เธอจึงไม่มีปัญหาอะไร อีกทั้งยังเรียนได้ดีในระดับต้นๆของสายชั้นอีกด้วย และยังทำกิจกรรมให้กับโรงเรียนมากมาย เมื่อจบการศึกษาในระดับประถม ป้าของมะลิก็ให้มะลิไปเรียนอีกจังหวัดหนึ่ง โดยให้มะลิกลับมาอยู่บ้านทำงานช่วยพ่อแม่ และให้นั่งรถประจำโรงเรียนไปเรียน มะลิเชื่อฟังป้ามาก จึงทำตามแม้ตัวเธออยากเรียนที่จังหวัดเดิมก็ตาม เมื่อมาอยู่อีกโรงเรียนหนึ่งก็ไม่มีปัญหามะลิก็ยังขยันเรียนและเป็นเด็กดี และยังทำกิจกรรมช่วยทางโรงเรียน ทำให้เพื่อนๆในชั้นเรียนชอบเธอ ครูในโรงเรียนต่างเมตตามะลิ แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นมะลิ มะลิยังคงมีปัญหากับพ่อใหม่เหมือนเดิมทำให้แม่หนักใจมาก จึงมาปรึกษาป้า ป้าของมะลิจึงให้มะลิไปเรียนโรงเรียนประจำกับลูกของป้าซึ่งเป็นลูกชายคนโตชื่อว่า ปอ มะลิรักพี่ปอเหมือนพี่ชายแท้ๆของตัวเอง ปอก็รักมะลิเหมือนน้องแท้ๆ เพราะทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน ป้าบอกกับพี่ปอให้ดูแลมะลิตลอด เมื่อมะลิก้าวเข้ามาเรียนในโรงเรียนประจำทำให้โลกของมะลิเปลี่ยนไปสังคมเปลี่ยนไป มะลิถูกตามเอาอกเอาใจจากแม่ เริ่มรู้จังสังคมมากขึ้น มีเพื่อนเพิ่มมากขึ้น ทั้งเพื่อนเรียนเพื่อนเที่ยว มะลิเริ่มเรียนรู้ในสิ่งไม่ดี เพราะคำว่าเสียใจจากพ่อของเธอ อยากประชดพ่อใหม่ อยากลองในสิ่งที่สังคมว่าไม่ดี แล้วเธอคิดว่าหากเธอทำตัวไม่ดีแล้วป้าของเธอยังจะรักเธอเหมือนเดิมไหม เป็นความคิดโง่ๆและบ้ามากสำหรับเด็กๆ แต่เธอก็ยังไม่ทิ้งการเรียน แต่การเรียนของเธอก็ต่ำจากเดิม มะลิเริ่มโกหกแม่ของเธอในเรื่องต่างๆ เริ่มเที่ยวกลางคืนโดยขโมยออกนอกหอพัก เริ่มแต่งตัว เริ่มมีความรักและรู้จักผู้ชาย จึงทำให้เธอถูกผู้ชายหลอกมากมาย แต่เธอก็ยังทำต่อไป จนมาวันหนึ่งวันนั้นเป็นวันปิดภาคการเรียนสุดท้ายในระดับมัธยม จะเรียนในระดับมหาวิทยาลัยแล้ว มะลิได้ขอแม่ของเธอไปเรียนพิเศษเพื่อเตรียมตัวเข้าเรียน แม่เธออนุญาตด้วยเพราะเชื่อใจลูกสาวของตน มะลินำเงินที่ได้ไปเที่ยวกลางคืนกับเพื่อนจนหมด เธอติดเที่ยวกลางคืนมากไม่เข้าเรียนพิเศษ ตื่นสายมากไปเรียนไม่ทัน ไม่รู้จะทำยังไงไม่มีเงินอีกทั้งอกหักจากชายซึ่งเธอหลงและรักมาก มะลิจึงไปทำงานกลางคืนร้องเพลงตามสถานที่เที่ยว ด้วยการที่มะลิเป็นเด็กที่ฉลาดและหน้าตาดีอยู่แล้ว แต่มะลิยังเชื่อคนง่าย จึงเป็นจุดอ่อนของเธอ เธอจึงถูกหลอกอีก ถูกผู้ชายมีอายุหลอกลวงเธอ และมาหาเธอทุกวัน ทำให้มะลิหลงรักผู้ชายคนนี้มาก ผู้ชายคนนี้มีครอบครัวอยู่ก่อนแล้ว แต่เขากลับปฏิเสธและบอกว่าเลิกรากันแล้ว มะลิจึงไม่คิดอะไร ความลับไม่มีในโลก ทางบ้านมะลิรู้เรื่องโกรธมะลิมาก ป้าของเธอสืบเรื่องผู้ชายคนนี้ จึงได้รู้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้เลิกรากับภรรยาของตน มาหลอกลวงหลานสาวของตน จึงบอกให้หลานสาวของตนเลิกรากับชายคนนี้และเริ่มต้นใหม่ แต่แล้วมะลิหัวแข็งขึ้นไม่เชื่อฟังที่ป้าบอกเหมือนเดิม ทำให้ป้าหนักใจ หาหนทางให้หลานตัวเองตื่นจากเรื่องบ้าๆ แต่มะลิความรักบังตา เชื่อคำพูดของชายคนนั้นหมด แม่ของมะลิยังเปิดโอกาสให้มะลิเรียนมหาวิทยาลัยต่อไป เมื่อมาเรียนที่มหาวิทยาลัยชายคนนั้นก็มาหาเธอประจำ และโกหกมะลิว่าเลิกรากับภรรยาเดิมจริงๆ ทำให้มะลิยิ่งเชื่อชายคนนี้มาก บ้าคลั่งไม่เป็นอันเรียน ไม่เข้าเรียนเพราะอยู่กับชายคนนี้ แต่เธอก็ไม่อยากให้แม่เสียใจ เธอยังรับผิดชอบเรื่องเรียนบ้าง และไปสอบตรงตามเวลา เวลาผ่านไป 2 ปี มะลิเริ่มรู้ตัวว่าถูกหลอกจากชายคนนี้ว่ายังไม่เลิกรากับภรรยาของตนจริงด้วยเพราะ มะลิเองมีเรื่องกับภรรยาของชายคนนี้ ชายคนนี้ก็ปกปิดเรื่องภรรยาของตน ทำให้มะลิเศร้ามาก ไม่เป็นอันเรียน แต่ด้วยกำลังใจที่ดีจากแม่ และความรักที่พ่อใหม่รัก คนรอบข้างในตัวมะลิทำให้มะลิมีกำลังใจขึ้นและกลับมาเป็นคนเดิมของแม่ ตั้งใจเรียนและเป็นคนดี ต่อไปเธอคงไม่เชื่อคนง่าย และทำร้ายตัวเธอแบบนี้ การประชดโดยขาดสติ โง่ๆแบบนี้คงเป็นบทเรียนที่ดีและจำจนวันตายให้กับมะลิ

เช้าวัน 21 กันยายน 2552

เช้าวันใหม่อีกแล้ว เวลาผ่านไปเร็วมาก เช้าวันนี้ก็เป็นวันแรกของสัปดาห์ ก็ต้องเริ่มต้นดีหน่อย ด้วยการตั้งใจเรียน ไม่ทำตัวเหลวไหล ต้องทำให้ได้ และก็อย่าลืมอ่านหนังสือและเข้าเรียนตรงตามเวลาด้วยนะจ้ะ จีจี้ อืม! สู้ๆเหลืออีกแค่ 2 ปีกว่าๆก็จะบอกถึงอนาคตหน้าที่การงาน ของเราแล้ว พูดถึงมาเรียนนิเทศน์ทำไม่ อยากจะบอกว่าชอบก็ไม่ได้สิ เหตุผลอาจไม่หนักพอ อยากบอกว่าคือทั้งชอบและรัก ถนัดด้วย ถ้าให้ไปเรียนพยาบาล หรือครู คงไม่ใช่ตัวตนของศิริเนตรเหรอนะค่ะ เพราะตัวตนที่แท้จริงของศิริเนตร คือนิเทศน์ศาสตร์ การนำเสนอสื่อให้กับทุกคน ( พูดให้ดีไว้ เวอร์ไปหรือเปล่าเนี้ย ) ตอนแรกก็ยังสับสนนะว่าจะเรียนอะไรดี แต่พอนึกถึงคำๆหนึ่งขึ้น คือ เรียนในสิ่งที่เราฝันไว้ เราถนัด เรารัก แล้วนำสิ่งนั้นมาสร้างสรรค์ในทางที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อตนเอง และคนอื่นแล้ว ก็เรียนสิ่งนั้นแหละ อุ๊ย! ใช่เลย เราก็เลยเลือกเรียนนิเทศน์ศาสตร์นี้แหละ เพราะ ศาสตร์ทุกศาสตร์ต่างพึ่งพากัน (แม้เอาคำพูดใครมานะ) วันนี้มีเรียน English 4 แต่เพื่อนบอกว่าอาจรย์ไปทำธุระ ไม่ได้มาสอน ก็เลยไม่ได้ไป นั่งเขียนบันทึกดีกว่า แต่ตอนบ่ายนี้มีเรียน ถ่ายรูปเป็นชั่วโมงแรกและก็ครั้งแรกที่เรียน จะผ่านหรือเปล่าก็ไม่รู้ ต้องผ่านสิ สู้ๆ

เรื่องของชั่วโมงแรก

ชั่วโมงแรกของวิชาการเขียนบทความและสารคดี วันนี้เราไม่สบายช่างงั้น แต่ก็ไปเรียนไม่อยากขาดเรียน ไปถึงก็ไม่มีอะไรมาก อาจรย์พี่เล็กก็แนะนำเนื้อหาที่เรียน และก็บอกถึงสัดส่นคะแนน มอบหมายงานสองชิ้น คือ การเขียนบันทึกน่าจะเป็นการเขียนแนวอิสระนะไม่จำกัดหัวข้อส่งไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง ส่งไม่เกินประมาณวันที่ 24 กันยายน 2552 ที่จำได้นะ และก็ชิ้นที่สอง ให้นักศึกษาหาเรื่องสั้นมาส่งคนละหนึ่งชิ้น เพื่อนๆกับอาจรย์พี่เล็ก ก็ไปบรรณสารกัน แต่เราไม่สบายกับมานอนที่ห้อง แย่จริง พูดถึงการเขียนบันทึกส่ง เป็นปัญหาสงสัยกับเรามาก เพราะไม่รู้จะบันทึกยังไง บันทึกใน web อะไร ก็เลยบันทึกช้าไปหน่อย พูดถึงว่าจะกลับมานอน แต่ก็ไม่ได้นอน เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ต้องกลับบ้านด่วน ต้องขับรถมอเตอร์ไซต์ไปสถานีรถไฟด่วน เพื่อซื้อตั๋วและนั่งรถกลับอุบลราชธานี นั่งรถตั้งหกชั่วโมง แต่พอตั้งสติได้ ก็ทิ้งตั๋วและไม่กลับดีกว่า กลับไปนอนักและตั้งสติดีกว่า ส่วนเรื่องอะไรนั้ยไม่ขอกล่าวถึงงนะค่ะ แต่อยากบอกไว้อย่างสำหรับทุกคนที่อ่านบันทึก ไม่ว่าอะไรจะเกืดขึ้นจะร้ายแรกแค่ไหน ขอให้เราตั้งสติก่อน คิดพิจจารณาดีๆ ก่อนที่พูด ทำอะไรลงไป ว่าดีหรือยัง อย่างทำเพราะอารมณ์ เพราะผลที่ตามมาอาจเป็นผลร้ายแก่ตัวเอง และคนอื่นอาจมองเราไม่ดีอีกด้วย และอย่างรักใครมากกว่าตัวเอง รักและแครืความรู้สึกของตัวเองบ้าง ความรักไม่จำเป็นต้องเป็นความรักแบบแฟนหรือชู้สาวเสมอไปถึงจะมีความสุขที่จริงในชีวิต แต่ความรักจากพ่อแม่นั้นสิเป็นความรักที่จริงในชีวิต และไม่มีวันลดลงหรือหายไปจากตัวเรา พอตั้งสติได้ก็ขับรถกลับมามหาลับและเข้าหอนอนพัก เพราะไม่มีแรงจะสู้หรือจะทะเลาะกับใครได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คิดเสมอคือนอนพักก่อน ใจเย็นๆ แล้วอะไรทุกอย่างก็จะดีขึ้น

คืนที่ 21 กันยายน 2552

วันนี้พิเศษกว่าทุกวันที่ผ่านมาตั้งแต่เปิดเทอมที่สองมา ททำไมเหรอก็เพราะวันนี้ได้ออกกำลังกายเล่นกับเพื่อนๆสาขาน้องๆสาขา สนุกมากค่ะ และก็เป็นวันที่มีความสุขอีกวัน ไม่ต้องคิดอะไรมากไม่มีเรื่องมากวนใจ แต่วันนี้ร่างกายไม่ค่อยสู้เท่าไร เหนื่อยมากทั้งๆที่มีเรียนแค่ตัวเดี่ยว ไม่ได้ทำงานอะไรเลย หรือว่าเป็นเพราะว่าเราไม่สบายและเดินทางกลับมาจากบ้าน เมื่อวานนี้ เพิ่งรู้นะค่ะว่าการแคร์ความรู้สึกของตัวเอง และการที่คิดว่ารักตัวเองให้มาก และทำหน้าที่ให้ดีที่สุด มันทำให้เราเปลี่ยนมุมมองตัวเองได้บ้าง ทำให้เราสบายใจขึ้น และก็ไม่มีปัญหาคิดมาก เครียดกับใครสักคนมาก เหมือนแต่ก่อนเครียดถึงขนาดเข้าขั้นเลยแหละ แต่เชื่อนะว่า เวลาจะช่วยทำให้เราคิดได้ ถึงจะเกือบสายแต่ก็ยังไม่สายใช่ไหมค่ะ ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ค่ะ หากเรามีสติ บ้างทีเราเองนับถือศาสนาพุทธหรือศาสนาอื่นๆด้วย เพราะศาสนาทุกศาสนาต่างมีคำสอนที่คล้ายคลึงกัน ล้วนสอนให้คนเรารักกัน และทำความดีทั้งนั้น แต่บางทีเรากลับหลงลืมคำสอนนั้น และไม่นำมาปฏิบัติ การมีศาสนาเป็นที่พึ่งทางจิตใจเรานั้น จะช่วยให้เรามีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ และเราก็จะทำตัวเป็นปกติสุข คือมีความสุข รู้หน้าที่ของเราเอง และไม่ทำผิดศีลธรรม เพราะกลัวปาบกรรม ใช่สิ! วันี้ช่วงบ่ายมีเรียนการถ่ายภาพ เป็นวิชาที่ไม่รู้จะเริ่มยังไง แต่ก็สู้ค่ะ ไม่มีใครเป็นอะไร หรือเก่งอะไรตั้งแต่เกิดเหรอ สู้ๆ สุดท้ายก็อย่าดูถูกตัวเองนะค่ะ วันนี้ไปเช่าหนังมาเป็นหนังเรื่อง เข็มทิศทองคำ เดียวคืนนี้ดู และก่อนอ่านหนังสือวิชาคุณภาพชีวิตสักหน่อย ไว้พรุ่งนี้จะมาเล่าเรื่องหนังให้อ่านนะ ฝันดีทุกคนค่ะ

“นพลักษณ์” ลักษณ์ที่ 9

คนที่ 9 มีลักษณะอบอุ่น เป็นมิตร อดทนใจกว้าง ใจดี ชอบปรับตัวเข้ากับคนอื่น ไม่ชอบแข่งขัน และช่างพูดคุยเขาชอบชีวิตที่สงบ มีรูปแบบ คาดการณ์ได้ล่วงหน้า และสะดวกสบาย ชอบทำตัวกลมกลืนกับผู้คน เขาพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะรู้ลำดับความสำคัญต่างๆของตัวเอง และจะเห็นดีเห็นงามกับความประสงค์ของผู้อื่น บางครั้งถึงกับผู้สำเนียง คำศัพท์ และภาษาท่าทางของคนอื่นๆ
มักเป็นคนว่องไว สนใจเรื่องต่างๆมีงานอดิเรกมากมาย และทุ่มเทพลังให้กับงานได้พอสมควร ชอบอยู่กับผู้คน และมีผลงานมากเมื่อทำงานเพื่อคนอื่น ขณะอยู่ในสังคมอาจเป็นคนวางและนุ่มนวล แต่ที่จริงมีพลังแฝงอยู่มากมาย และมักแปรเปลี่ยนไปมาระหว่างการทำกิจกรรมไม่หยุดหย่อยกับการหมดแรง หรือเฉื่อยชา ง่วงเหงาหาวนอน
คนที่ 9 มักหลงลืมตัวเอง และสูญเสียการรับรู้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญสำหรับตัวเองจริงเป็นคนฟุ้งซ่านได้ง่ายแม้ยามอยู่คนเดียว และทิ้งเรื่องที่ควรทำอันดับแรกๆไว้จนสุดท้าย มันเหมือนกับการผัดวันประกันพรุ่งโดยไม่ตั้งใจ เวลาหมดไปกับงานที่ไม่สำคัญอะไร ความสนใจใหม่ๆคนใหม่ๆทุกอย่างดูเป็นสิ่งที่เร่งรีบเฉพาะหน้ามากกว่างานที่สำคัญจริงๆเป็นประเภทกินแกงร้อน ไม่ทำจนกว่าจะถึงเส้นตายนาทีสุดท้าย และต้องพึ่งคนอื่นให้คอยเตือนอยู่เรื่อยๆ
คนที่ 9 มองความคิดเห็นทุกแง่มุมรอบด้าน และเมื่อเสาะกาหรือให้ข้อมูลใด ก็จะต้องมีคำอธิบายของเรื่องราวที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในมือ จึงมักจะยืดยาวน่าเบื่อหรือเหมือนคนเห่อความรู้ และยากที่จะตัดสินใจอะไรได้
ด้วยว่าโลกคนที่ 9 นั้นเลื่อยลอยไม่คงที่ เขาจึงต้องการความมั่นใจว่าควบคุมได้ และอาจหมกมุ่นอยู่กับรายละเอียด เขาจะสะสมข้อมูล เช่นเดียวกับสิ่งของ และสามารถหมกหมุ่นกับการวางแผนที่อาจไม่มีวันเป็นจริงเลยก็ได้ คนที่ 9 หลงลืมอยู่กับสิ่งที่ผู้อื่นมองว่าเป็นเรื่องรอง และมักทำตัวเหินห่างและหมดความสนใจในเรื่องอื่นๆไปเลย ในเวลาเดียวกัน เขาต้องการให้คนอื่นเข้ามามีส่วนร่วมด้วย หรืออย่างน้อยก็รับรู้ในโครงการของเขา
คนที่ 9 ไม่เก่งในการต่อสู้เรื่องของตัวเอง แต่เพื่อคนอื่นแล้วจะสู้อย่างดุเดือด เปรียบได้รับอนุญาโตตุลาการ หรือเพื่อให้แน่ใจว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ถูกมองข้ามไป สำหรับเรื่องส่วนตัว เขาพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะรู้ว่าตัวเองคิดหรือรู้สึกอะไร ความโกรธแสดงออกโดยไม่แสดงออกโดยไม่แสดงปฏิกิริยาตอโต้ชัดเจน แต่เป็นแบบดื้อเงียบหรือนิ่งเฉย หรือไม่ก็ระเบิดออกมาภายหลัง ซึ่งนานจนกระทั่งตัวเองก็จำไม่ได้ว่าต้นตอคืออะไร เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร
คนที่ 9 ไม่ชอบให้ใครมาบอกให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่จะใช้วิธีไม่ทำอะไรเลย แทนที่จะแสดงความไม่เห็นด้วยออกมา จนกระทั่ง “ กระแส” นำพาเขาไปที่อื่น
คนที่ 9 ที่ไม่รู้ตัว จะรู้สึกขาดแคลน เรียกร้องต้องการ ตัดสินใจไม่ได้ ตัดสินคน เฉยเมย และหมกมุ่นซ้ำซาก กระหายความสัมพันธ์ แต่ก็ตำหนิ โลกที่เป็นอย่างนั้นและแสดงออกโดยการบ่นและมีพฤติกรรมที่สลับกันระหว่างยอมตามทั้งหมดกับก้าวร้าว
คนที่ 9 ที่รู้ตัว จะเป็นคนเห็นอกเห็นใจและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สงบสุขเมื่ออยู่ด้วย ใจกว้าง ให้อภัย และสามารถสร้างความกลมกลืนสมานฉันท์ด้วยการหยั่งรู้ถึงความสมดุลแห่งพลังในกลุ่มและดึงให้แต่ละคนร่วมมือกัน อย่างแท้จริง







ความสนใจภายในและตัวอย่างสภาพชีวิตในวัยเด็ก
คนที่ 9 ปรารถนาจะเก็บรักษาความรู้สึกหยั่งรู้ถึงความผูกพันและความเป็นส่วนหนึ่งของโลกเอาไว้ แม้โลกจะเต็มไปด้วยการจากพรากและไร้รัก เขาเรียกรู้ที่จะซ่อนตัวเอง หันไปสนใจเรื่องภายนอกและผสานกลมกลืนกับผู้อื่น
เขาเล่าถึงชีวิตวัยเด็กกว่าครอบครัวไม่ใส่ใจฟังเขา มองข้ามเขาเสมอในการที่เด็ก 9 จะเลือกจุดยืนไม่ว่าด้านบวกหรือลบก็ตามที ถ้าดึงความสนใจเข้าสู่ตนเองเมื่อใด เมื่อนั้นอาจเสี่ยงต่อความแตกแยกมากขึ้น เขาจึงพอใจที่จะละเลยต่อตนเองและเป็นอย่างที่ใครๆคาดหวังให้เป็นดีกว่า
เด็กคนที่ 9 บางคนถูกสอนอย่างเข้มงวดว่าไม่ควรแสดงความรู้สึกออกมา “นัยมันชัดเจนมาก อย่าพุดถึงความรู้สึกของตัวเอง “ หรือแม้แต่สิ่งที่เห็น เนื่องจากไม่ได้รับการยอมรับ ฉันเลยตัดสินใจว่าฉันไม่มีความคิดเห็นใดๆ
เขายังเรียนรู้ที่จะมองข้ามความโกรธ และเอาพลังธรรมชาติอันเต็มเปี่ยมของตนไปใช้กับสิ่งที่ไม่จำเป็น เพื่อไม่ให้มันบังคับให้เขาต้องสนองตอบความโกรธ ความโกรธของเขาแสดงออกในทางที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับจุดยืนของตนเอง